วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

ชั่วโมงเรียนของมหาวิทยาลัยที่ยากจะทำได้



พวกเราคงทราบอยู่แล้วว่า ยิ่งเราเติบโต ตารางเรียนก็จะเริ่มเพิ่มขึ้น จากวัยเด็กเข้าโรงเรียนเป็นผู้ใหญ่ที่ไปทำงาน

เด็กอนุบาล แทบไม่เรียน เป็นกิจกรรมเล่น ดื่มนม นอน แม้ตารางเรียนเท่าเด็กประถม
เข้าสู่เด็กประถม ไปรร.กันตั้งแต่ 8.00-15.00 น.การนอนกลางกลางวันก็หายไป
เริ่มเรียนหนักเป็นเรื่องเป็นราว ชั่วโมงอิสระ-ออกกำลังมาก เกรดเริ่มออกผลสู่ผู้ปกครอง

ระดับมัธยม เริ่มมีการแข่งขัน เรียนอย่างจริงจัง ไปกวดวิชา สร้างเป้าหมายในอนาคต สนใจออกหาประสบการณ์
ตารางเรียนเริ่มแน่นขนัด ถ้าไม่เรียนนอกตาราง เวลาเรียนจะเป็น 8.00-16.00 น.

และเมื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัย ขณะที่บางส่วนแยกไปทำงานเลย
นักศึกษาต้องเริ่มศึกษากันในสาขาระดับสูง เรียนเฉพาะทาง สามารถลงทะเบียนเรียนจัดการเวลาอย่างอิสระเต็มที่




แผ่นด้านบนเป็นตัวอย่างตารางเรียนของนิสิตมหาวิทยาลัย คณะวิศวกรรมาสตร์ ปีที่หนึ่ง เทอมหนึ่ง
ภาคปกติเรียนวันจันทร์-ศุกร์ ในส่วนของรายละเอียดวิชาด้านล่างถัดลงมา
แต่ละวิชาแสดงหน่วยกิต ซึ่งเทอมนี้ วิชาละ 3 หน่วยกิตทุกวิชา

"หน่วยกิต 1(2-3-4)"
ตำแหน่งเลข 1 หมายถึง จำนวนหน่วยกิตของวิชานี้ (บอกความสำคัญของวิชา)
ตำแหน่งเลข 2 หมายถึง จำนวนชั่วโมงที่ต้องเรียนบรรยายต่อสัปดาห์ (ชั่วโมงนั่งฟัง นั่งจดเลคเชอร์)
ตำแหน่งเลข 3 หมายถึง จำนวนชั่วโมงที่ต้องเรียนปฎิบัติการบรรยายต่อสัปดาห์ (ลุยงาน จับเครื่อง งานโปรเจก)
ตำแหน่งเลข 4 หมายถึง จำนวนชั่วโมงที่ต้องเรียนที่ต้องศึกษาเอง (อ่านเอง นอกตาราง จัดการเอาเอง)

เช่น รหัส 310101 วิชาเรียนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 3(2-2-5)
3 หน่วยกิต เรียนบรรยาย 2 ชั่วโมง เรียนปฎิบัติการ 2 ชั่วโมง ศึกษาเอง 5 ชั่วโมง

ต่อไปมาคำนวณชั่วโมงเรียนในมหาวิทยาลัย
จำนวนชั่วโมงทั้งหมดที่ต้องใช้เรียนใน 1 สัปดาห์ทั้งหมด นั้นคือรวมจำนวนชั่วโมงศึกษาเองด้วย
= [ (2+2+5)*1 ] + [ (3+6)*6] = 63 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
(นอกจากหน่วยกิตเท่ากันหมด แต่ละวิชายังใช้เวลาเรียนต่อสัปดาห์เท่ากันอีกด้วย)

ดูรวมๆแล้ว บรรยากาศจากนิสิตที่กำลังมองอยู่ เห็นว่านิสิตส่วนใหญ่ใช้เวลาเรียนเฉพาะในคาบเท่านั้น
คือ เรียนชั่วโมงที่อาจารย์มาควบคุมเท่านั้น ส่วนชั่วโมงที่อ่านเอง มีเพียงนิสิตจำนวนเล็กน้อยสามารถทำสำเร็จ

พอได้ลองเขียนตารางเรียนที่เพิ่มชั่วโมงอ่านเองไปด้วยแล้ว ตารางแน่นขนัด ขนาดที่แทบทำไม่ได้
ดูเหมือนการเรียนในมหาวิทยาลัยให้ได้ดีนั้นทำได้ยากลำบาก ต้องอาศัยความขยันมาก

5 ความคิดเห็น:

  1. "เทียบกับสมัยมัธยมแล้ว เรียน 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์"
    8ชม.ต่อวันรึเปล่า?

    แล้วก็ตอนคำนวนชั่วโมงเรียนต่อวันน่าจะใช้จำนวนวันให้เท่ากันนะ
    เพราะชม.เรียนต่อวันของมหาลัยคำนวนมาจาก7วัน แต่มัธยมเรียนแค่5วันต่อสัปดาห์เอง

    ปล.รู้สึกblogอ่านง่ายขึ้นเยอะนะ

    ตอบลบ
  2. อืมยิ่งโตขึ้นก็ต้องเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ

    แต่ตารางสอบางวันก็ไม่ไหวนะ(วันพฤหัส)

    เล่นเรียนซะเที่ยง

    ทำให้คนโดดเรียนเยอะ(ผมด้วย" - -)

    ตอบลบ
  3. ผมยอมรับว่าเมื่อโตขึ้นนั้น เราต้องใช้เวลาในการศึกษามากขึ้นนะครับ แต่จะมีอยู่อย่างหนึ่งที่เด็กไทยส่วนใหญ่ละเลยกับมันคือ ช่วงที่ต้องศึกษาด้วยตนเอง ซึ่งค่อนข้างสำคัญแต่เด็กไทยส่วนใหญ่มองข้ามมัน เวลานั้นบางคนหลงไปกับแสงสีเสียง หรือทำกิจกรรมจนเกินไป จึงทำให้มานั่งศึกษาเอาตอนท้ายเทอมก่อนสอบกันหัวหมุน (ซึ่งผมก็ยอมรับว่า ผมก็ละเลยมันไปนะครับ-o-*) ผมอยากให้ใส่ใจในส่วนนี้กันมากขึ้นนะครับ แล้วอะไรๆ จะดีขึ้นกับชีวิตคุณ

    ตอบลบ
  4. เออ host ครับ คือ ว่า host หาร 7 อะครับ จาก 63 ชม / สัปดาห์ ซึ่งตอนม.ปลาย เรา หาร 5 มันเลยได้ 8 ชม / สัปดาห์ ซึ่งในเมื่อ ตารางนั้น เราเรียนภาคปกติ เราจะเรียน แค่ 5 วันต่อสัปดาห์เพียงเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเวลามันก็ยังมากกว่ามัธยมอยู่ดี ปล.เออตารางเรียนนั้นผมว่ามันคุ้นๆ นะครับ เหมือนจะเป็นของ host

    ตอบลบ
  5. งั้นผมขอเสนอในมุมมองของผมนะครับ แชร์ๆกัน

    ผมว่าเวลาเรียนนี่แค่ในชั่วโมงเรียนมันเกินพอแล้วนะครับ สิ่งที่สำคัญในการเรียนมหาวิทยาลัยผมว่ามันก็คือกิจกรรมอยู่ดี

    ในตอนนี้การเรียนการสอนของไทยเรายังไม่ไปถึงไหนครับ อาจารย์เค้าก็ยังคิดให้ให้นักศึกษาท่องเอาโล่อยู่เลย ไม่เข้าใจว่าจะสอนให้ท่องจำไปทำไม เนื่องจากหากเป็นในการทำงานจริงๆ บางสิ่งบางอย่างที่ท่องๆกันอ่ะ เปิดหนังสือเอาก็ได้ แล้วจะให้ท่องไปทำไม?

    ผมว่าสิ่งที่ตอนเป็นนักศึกษาที่ควรทำคือ สอนวิธีคิดมากกว่า ไม่ใช่สอนวิธีจำ

    ถ้าวิธีคิดถูก เปิดหนังสือดูเอาก็ได้ครับ
    วิธีคิดผิด ถึงจะเปิดหนังสือคำตอบที่ได้ก็คือผิดอยู่ดี

    นี่แหล่ะครับ คือการสอนวิธีคิด ไม่ใช่สอนวิธีการจำ

    แต่ปัจจุบันนี้ การสอนก็เป็นวิธีการจำอยู่ดี เนื่องจาก อาการย์ส่วนใหญ่ที่สอน ก็จะเป็นเด็กเรียนเก่งมาก่อน (ผมน่าจะใช้คำว่าเด็กจำเก่งมาก่อนนะ)
    ได้ทุนมาก็เรียนต่อ เรียนจบเอกก็มาเป็นอาจารย์ใช้ทุน
    แล้วก็มาสอนให้นักเรียนมาจำๆๆ เหมือนที่แกเคยทำ
    วงจรนี้ก็จะหมุนวนไปเรื่อยๆ

    เด็กไทยก็จะจำเอาโล่กันต่อไป

    ไม่รู้จะเข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อกันมะเนี่ย - -"

    ตอบลบ