คลังบทความของบล็อก
วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553
ชั่วโมงเรียนของมหาวิทยาลัยที่ยากจะทำได้
พวกเราคงทราบอยู่แล้วว่า ยิ่งเราเติบโต ตารางเรียนก็จะเริ่มเพิ่มขึ้น จากวัยเด็กเข้าโรงเรียนเป็นผู้ใหญ่ที่ไปทำงาน
เด็กอนุบาล แทบไม่เรียน เป็นกิจกรรมเล่น ดื่มนม นอน แม้ตารางเรียนเท่าเด็กประถม
เข้าสู่เด็กประถม ไปรร.กันตั้งแต่ 8.00-15.00 น.การนอนกลางกลางวันก็หายไป
เริ่มเรียนหนักเป็นเรื่องเป็นราว ชั่วโมงอิสระ-ออกกำลังมาก เกรดเริ่มออกผลสู่ผู้ปกครอง
ระดับมัธยม เริ่มมีการแข่งขัน เรียนอย่างจริงจัง ไปกวดวิชา สร้างเป้าหมายในอนาคต สนใจออกหาประสบการณ์
ตารางเรียนเริ่มแน่นขนัด ถ้าไม่เรียนนอกตาราง เวลาเรียนจะเป็น 8.00-16.00 น.
และเมื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัย ขณะที่บางส่วนแยกไปทำงานเลย
นักศึกษาต้องเริ่มศึกษากันในสาขาระดับสูง เรียนเฉพาะทาง สามารถลงทะเบียนเรียนจัดการเวลาอย่างอิสระเต็มที่
แผ่นด้านบนเป็นตัวอย่างตารางเรียนของนิสิตมหาวิทยาลัย คณะวิศวกรรมาสตร์ ปีที่หนึ่ง เทอมหนึ่ง
ภาคปกติเรียนวันจันทร์-ศุกร์ ในส่วนของรายละเอียดวิชาด้านล่างถัดลงมา
แต่ละวิชาแสดงหน่วยกิต ซึ่งเทอมนี้ วิชาละ 3 หน่วยกิตทุกวิชา
"หน่วยกิต 1(2-3-4)"
ตำแหน่งเลข 1 หมายถึง จำนวนหน่วยกิตของวิชานี้ (บอกความสำคัญของวิชา)
ตำแหน่งเลข 2 หมายถึง จำนวนชั่วโมงที่ต้องเรียนบรรยายต่อสัปดาห์ (ชั่วโมงนั่งฟัง นั่งจดเลคเชอร์)
ตำแหน่งเลข 3 หมายถึง จำนวนชั่วโมงที่ต้องเรียนปฎิบัติการบรรยายต่อสัปดาห์ (ลุยงาน จับเครื่อง งานโปรเจก)
ตำแหน่งเลข 4 หมายถึง จำนวนชั่วโมงที่ต้องเรียนที่ต้องศึกษาเอง (อ่านเอง นอกตาราง จัดการเอาเอง)
เช่น รหัส 310101 วิชาเรียนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 3(2-2-5)
3 หน่วยกิต เรียนบรรยาย 2 ชั่วโมง เรียนปฎิบัติการ 2 ชั่วโมง ศึกษาเอง 5 ชั่วโมง
ต่อไปมาคำนวณชั่วโมงเรียนในมหาวิทยาลัย
จำนวนชั่วโมงทั้งหมดที่ต้องใช้เรียนใน 1 สัปดาห์ทั้งหมด นั้นคือรวมจำนวนชั่วโมงศึกษาเองด้วย
= [ (2+2+5)*1 ] + [ (3+6)*6] = 63 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
(นอกจากหน่วยกิตเท่ากันหมด แต่ละวิชายังใช้เวลาเรียนต่อสัปดาห์เท่ากันอีกด้วย)
ดูรวมๆแล้ว บรรยากาศจากนิสิตที่กำลังมองอยู่ เห็นว่านิสิตส่วนใหญ่ใช้เวลาเรียนเฉพาะในคาบเท่านั้น
คือ เรียนชั่วโมงที่อาจารย์มาควบคุมเท่านั้น ส่วนชั่วโมงที่อ่านเอง มีเพียงนิสิตจำนวนเล็กน้อยสามารถทำสำเร็จ
พอได้ลองเขียนตารางเรียนที่เพิ่มชั่วโมงอ่านเองไปด้วยแล้ว ตารางแน่นขนัด ขนาดที่แทบทำไม่ได้
ดูเหมือนการเรียนในมหาวิทยาลัยให้ได้ดีนั้นทำได้ยากลำบาก ต้องอาศัยความขยันมาก
วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553
เด็กไทย ส่วนใหญ่ เกรดดี แต่ไร้ความรู้ พอเข้ามหาลัย ไปไม่รอด คุณคิดแบบผมหรือไม่ว่าใครเป็นต้นเหตุ??
ผิดอย่างมาก เพราะเด็กก่อนอุดมศึกษา มีการใช้คะแนนเก็บที่สูงเกิน
ไป สำหรับผม ผมว่ามากไปด้วยซ้ำ เด็กจึงไม่ใส่ใจกับการเก็บเกี่ยว
ความรู้เท่าที่ควร แต่มุ่งเน้นไปที่การทำคะแนนเก็บให้เยอะๆ บางครั้ง
เด็กบางคนถึงขั้นประจบประแจง อ.เพื่อให้มาได้ซึ่งคะแนน ซึ่งผมเอง
รับไม่ค่อยได้ พอถึงเวลาสอบกลางภาคหรือปลายภาค คะแนนสอบ
แปลผกผันกับคะแนนเก็บอย่างมาก เมื่อคะแนนออกมาไม่ถึงครึ่งก็มี
การสอบซ้อม ผลสรุปแล้วต่อให้ไม่รู้อะไรก็ได้คะแนนสอบตั้ง 50%
แล้ว ตัดเกรดออกมาได้เกรดที่ค่อนข้างสูงพอควร แล้วก็มาดีใจกันว่า
เราเรียนเก่ง ผู้ปกครองก็คิดไปด้วยว่าลูกเราเก่ง ผมยังเชื่อว่าบางครั้งเด็กเกรด น้อยๆ บางคนยังเก่งกว่าเด็กเกรดสูงๆ เลยด้วยซ้ำ
ไป พอถึงช่วงเข้ามหาลัย พอตัวเกรดสูงก็ใช้สิทธิโคต้าในการเข้ามหาลัย พอเรียนมหาลัยแล้วมันไม่ใช่อย่างแต่ก่อน คะแนนสอบ
เท่านั้นที่ใช้ในการตัดเกรด(อาจมีคะแนนเก็บเล็กน้อย) เมื่อตนเองไม่ได้ใส่ใจในการเก็บเกี่ยวความรู้ในระดับก่อนอุดมศึกษา แล้วจะ
เอาความรู้พื้นฐานที่ไหนมาต่อยอดในการเรียนมหาลัยละครับ ผลสรุปแล้วก็เรียนไม่รู้เรื่อง ทำข้อสอบไม่ได้ แล้วก็โดนรีไทม์ตาม
ลำดับ ผมถามว่ามันเป็นความผิดที่ใครเหรอครับเมื่อโครงสร้างการศึกษาว่างมาให้เด็ก ต้องปฏิบัติตัวแบบนี้
วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553
"The Fallacy" ตรรกะ หายนะ ความคิด
ถ้าพูดถึงคำว่า Fallacy หลายๆคนคงสงสัยว่ามันคืออะไร? ไม่เห็นจะเคยได้ยิน?
แต่ถ้าพูดว่า Logic หรือ ตรรกะ ล่ะก็ทุกคนคงจะคุ้นหูขึ้นมาบ้าง
Logic หรือ ตรรกะ นั้นคือกระบวนการคิดและใช้เหตุผลซึ่งเรามักพบในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว
โดยตรรกะของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันไป ซึ่งมักจะแสดงออกมาเมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ
เช่น เมื่อเจอฝนตกขณะเดินอยู่บางคนอาจรีบวิ่งไปยังที่หมาย แต่บางคนอาจหาที่หลบฝนรอฝนหยุดก่อน
ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นถึงกระบวนการคิด และตรรกะที่แตกต่างกัน
แล้ว Fallacy ล่ะ?
เรารู้แล้วว่าแต่ละคนนั้นมีการคิดและใช้เหตุผลต่างกันออกไป
ทำให้บางทีนั้นเราอาจพบความคิดเพี้ยนๆ หรือการให้เหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง
ซึงเราเรียกตรรกะที่ผิดพลาดนั้นว่า ตรรกะวิบัติ หรือ Fallacy นั่นเอง
ตรรกะวิบัตินั้นมักถูกนำมาใช้ในการหลอกลวง ด้วยการใช้คำพูดที่ดูเหมือนสมเหตุสมผล
แต่ไม่เป็นความจริงเลย หากใครไม่คิดตามให้ดีก็จะหลงเชื่อได้โดยง่าย
เอาล่ะในเมื่อเราทำความรู้จักกับตรรกะวิบัติกันแล้ว
ก็มาดูตัวอย่างตรรกะวิบัติกันต่อดีกว่า
- การละทิ้งข้อยกเว้น คือ การสรุปโดยไม่สนใจข้อยกเว้น
เช่น การฆ่าสิ่งมีชีวิตเป็นสิ่งที่ผิด เพราะฉะนั้นการกินยาไปฆ่าเชื้อโรคก็เป็นสิ่งที่ผิดด้วย
- การเหมารวม คือ การสรุปโดยยกตัวอย่างหนึ่งขึ้นมาแล้วเหมารวมว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น
เช่น นกทุกตัวบินได้ เพนกวินเป็นนก เพราะฉะนั้นเพนกวินบินได้
- การเอาคำถามเป็นคำตอบ คือ การที่เอาคำถามที่ถูกถามมาเป็นคำตอบเสียเอง
เช่น A:"ทำไมคุณถึงเรียนเก่ง" B:"เพราะผมเก่ง"
- การสรุปผลโดยใช้เพียงเหตุเดียว คือ การสรุปเอาเองว่า ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องเกิดจากสาเหตุA เท่านั้น ทั้งที่ความจริงอาจเกิดจากสาเหตุ B, C, D ก็ได้
เช่น เด็กคนหนึ่งฟังเพลงแล้วฆ่าตัวตาย เพราะฉะนั้นการฟังเพลงเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตาย
- การบังคับเลือก คือ การสรุปโดยจำกัดทางเลือกที่เหมาะสม
เช่น ถ้าคุณไม่ใช่เสื้อแดง ก็ต้องเป็นเสื้อเหลือง
- การสรุปเอาเอง คือ การสรุปโดยใช้เหตุและผลที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย
เช่น เขาเป็นคนดูดี เพราะงั้นเขาต้องเก่งมากแน่ๆ
- การสรุปเกินจริง คือ การเอาสาเหตุเล็กน้อย มาสรุปว่าต้องเกิดผลที่ร้ายแรง
เช่น คุณเหยีบมดตายโดยไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลย แปลว่าคุณคงฆ่าคนได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยเช่นกัน
- การเปรียบเทียบไม่เหมาะสม คือ การนำสิ่งที่คล้ายกันมาเปรียบเทียบกันไปเรื่อยๆจนได้สรุปที่เกินจริง
เช่น ดาบกับระเบิดใช้ฆ่าคนได้เหมือนกัน แสดงว่าดาบเป็นอาวุธร้ายแรงเหมือนระเบิด
คิดว่าไงกันบ้างกับตรรกะวิบัติแบบต่างๆ
บางข้อนั้นอาจจะดูเหมือนแปลกๆ แต่คราวหน้าถ้าได้คุยกับเพื่อนๆ
ลองสังเกตุดูหน่อยแล้วกันว่ามีใครใช้ตรรกะแบบนี้กันบ้างรึเปล่า
ไม่แน่อาจพบว่าเรากับตรรกะวิบัตินั้นอยู่ใกล้กันเกิดคาดก็ได้นะ
แต่ถ้าพูดว่า Logic หรือ ตรรกะ ล่ะก็ทุกคนคงจะคุ้นหูขึ้นมาบ้าง
Logic หรือ ตรรกะ นั้นคือกระบวนการคิดและใช้เหตุผลซึ่งเรามักพบในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว
โดยตรรกะของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันไป ซึ่งมักจะแสดงออกมาเมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ
เช่น เมื่อเจอฝนตกขณะเดินอยู่บางคนอาจรีบวิ่งไปยังที่หมาย แต่บางคนอาจหาที่หลบฝนรอฝนหยุดก่อน
ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นถึงกระบวนการคิด และตรรกะที่แตกต่างกัน
แล้ว Fallacy ล่ะ?
เรารู้แล้วว่าแต่ละคนนั้นมีการคิดและใช้เหตุผลต่างกันออกไป
ทำให้บางทีนั้นเราอาจพบความคิดเพี้ยนๆ หรือการให้เหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง
ซึงเราเรียกตรรกะที่ผิดพลาดนั้นว่า ตรรกะวิบัติ หรือ Fallacy นั่นเอง
ตรรกะวิบัตินั้นมักถูกนำมาใช้ในการหลอกลวง ด้วยการใช้คำพูดที่ดูเหมือนสมเหตุสมผล
แต่ไม่เป็นความจริงเลย หากใครไม่คิดตามให้ดีก็จะหลงเชื่อได้โดยง่าย
เอาล่ะในเมื่อเราทำความรู้จักกับตรรกะวิบัติกันแล้ว
ก็มาดูตัวอย่างตรรกะวิบัติกันต่อดีกว่า
- การละทิ้งข้อยกเว้น คือ การสรุปโดยไม่สนใจข้อยกเว้น
เช่น การฆ่าสิ่งมีชีวิตเป็นสิ่งที่ผิด เพราะฉะนั้นการกินยาไปฆ่าเชื้อโรคก็เป็นสิ่งที่ผิดด้วย
- การเหมารวม คือ การสรุปโดยยกตัวอย่างหนึ่งขึ้นมาแล้วเหมารวมว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น
เช่น นกทุกตัวบินได้ เพนกวินเป็นนก เพราะฉะนั้นเพนกวินบินได้
- การเอาคำถามเป็นคำตอบ คือ การที่เอาคำถามที่ถูกถามมาเป็นคำตอบเสียเอง
เช่น A:"ทำไมคุณถึงเรียนเก่ง" B:"เพราะผมเก่ง"
- การสรุปผลโดยใช้เพียงเหตุเดียว คือ การสรุปเอาเองว่า ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องเกิดจากสาเหตุA เท่านั้น ทั้งที่ความจริงอาจเกิดจากสาเหตุ B, C, D ก็ได้
เช่น เด็กคนหนึ่งฟังเพลงแล้วฆ่าตัวตาย เพราะฉะนั้นการฟังเพลงเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตาย
- การบังคับเลือก คือ การสรุปโดยจำกัดทางเลือกที่เหมาะสม
เช่น ถ้าคุณไม่ใช่เสื้อแดง ก็ต้องเป็นเสื้อเหลือง
- การสรุปเอาเอง คือ การสรุปโดยใช้เหตุและผลที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย
เช่น เขาเป็นคนดูดี เพราะงั้นเขาต้องเก่งมากแน่ๆ
- การสรุปเกินจริง คือ การเอาสาเหตุเล็กน้อย มาสรุปว่าต้องเกิดผลที่ร้ายแรง
เช่น คุณเหยีบมดตายโดยไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลย แปลว่าคุณคงฆ่าคนได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยเช่นกัน
- การเปรียบเทียบไม่เหมาะสม คือ การนำสิ่งที่คล้ายกันมาเปรียบเทียบกันไปเรื่อยๆจนได้สรุปที่เกินจริง
เช่น ดาบกับระเบิดใช้ฆ่าคนได้เหมือนกัน แสดงว่าดาบเป็นอาวุธร้ายแรงเหมือนระเบิด
คิดว่าไงกันบ้างกับตรรกะวิบัติแบบต่างๆ
บางข้อนั้นอาจจะดูเหมือนแปลกๆ แต่คราวหน้าถ้าได้คุยกับเพื่อนๆ
ลองสังเกตุดูหน่อยแล้วกันว่ามีใครใช้ตรรกะแบบนี้กันบ้างรึเปล่า
ไม่แน่อาจพบว่าเรากับตรรกะวิบัตินั้นอยู่ใกล้กันเกิดคาดก็ได้นะ
วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553
Google วันนี้ "Bucky ball"
นั่นคือลูกบอลปริศนาที่หมุนไปมาตามเมาส์เราอย่างเมามัน
ถ้าใครซนอีกหน่อย เอาเมาส์ไปชี้ก็จะเห็นข้อความ "ครบรอบ25ปีของบัคกี้บอล"ขึ้นมา
แล้วเจ้า "บัคกี้บอล" มันคืออะไรกันนะ ตามไปดูกันดีกว่า
แบบจำลองบัคกี้บอล |
บัคกี้บอล (Bucky Ball) มีชื่อเต็มๆว่า บัคมินสเตอร์ฟูลเลอรีน (Buckminsterfullerene)
ซึ่งตัวประกอบด้วยคาร์บอน60อะตอม ซึ่งการที่มันประกอบด้วยอะตอมคาร์บอนล้วนๆ
ก็แปลว่ามันเป็นญาติคนหนึ่งกับแกรไฟต์และเพชรนั่นเอง โดยบัคกี้บอลนี้จะมีขนาดอยู่ที่ 1nm (1นาโนเมตร) เท่านั้นเอง
ก่อนจะไปกันต่อแวะไปดูการค้นพบบัคกี้บอลอันแสนน่าสนใจกันก่อนดีกว่า
เหตุการเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ.1958 ศ.ดร. ฮาร์โรลด์ โครโต้ (Harold Kroto) นักฟิสิกส์ด้านอวกาศ
แห่งมหาวิทยาลัยซัสเซ็ก (University of Sussex) ประเทศอังกฤษ เกิดอยากรู้โครงสร้างของคาร์บอน
ที่พบรอบดาวยักษ์แดงที่อยู่ห่างจากโลกไป 1พันล้านไปแสงขึ้นมา แต่เพราะห้องทดลองของเขาไม่มีอุปกรณ์
เขาจึงได้ล่อลวง ศ.ดร. ริชาร์ด สมอลลีย์ (Richard Smalley) และ ศ.ดร. โรเบิร์ต เคิร์ล (Robert Curl)
ณ มหาวิทยาลัยไรซ์ (Rice university) สหรัฐอเมริกา ให้มาร่วมทีมด้วย
ทั้งสามจำลองสภาพบรรยากาศของดาวยักษ์ขึ้นมาด้วยการยิงแสงเลเซอร์ความร้อนสูงใส่แท่งแกรไฟต์
ที่อยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยแก๊สฮีเลียม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ โครงสร้างโมเลกุลคาร์บอนเกือบทั้งหมด
เปลี่ยนรูปร่างเป็นทรงกลมเหมือนลูกฟุตบอลที่ประกอบด้วยคาร์บอน 60 อะตอม
นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามท่านได้ตั้งชื่อรูปทรงกลมนี้ว่า “บัคมินสเตอร์ฟูลเลอรีน” เพื่อให้เกียรติแด่
มร. บักมินสเตอร์ ฟูลเลอร์ (Buckminster Fuller) ซึ่งเป็นผู้ออกแบบอาคารและสิ่งก่อสร้างรูปโดมทรงกลม
ที่มีลักษณะคล้ายกับลูกฟุตบอลขนาดใหญ่อันเลื่องชื่อหลายแห่ง
ก่อนจะไปกันต่อแวะไปดูการค้นพบบัคกี้บอลอันแสนน่าสนใจกันก่อนดีกว่า
เหตุการเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ.1958 ศ.ดร. ฮาร์โรลด์ โครโต้ (Harold Kroto) นักฟิสิกส์ด้านอวกาศ
แห่งมหาวิทยาลัยซัสเซ็ก (University of Sussex) ประเทศอังกฤษ เกิดอยากรู้โครงสร้างของคาร์บอน
ที่พบรอบดาวยักษ์แดงที่อยู่ห่างจากโลกไป 1พันล้านไปแสงขึ้นมา แต่เพราะห้องทดลองของเขาไม่มีอุปกรณ์
เขาจึงได้ล่อลวง ศ.ดร. ริชาร์ด สมอลลีย์ (Richard Smalley) และ ศ.ดร. โรเบิร์ต เคิร์ล (Robert Curl)
ณ มหาวิทยาลัยไรซ์ (Rice university) สหรัฐอเมริกา ให้มาร่วมทีมด้วย
ทั้งสามจำลองสภาพบรรยากาศของดาวยักษ์ขึ้นมาด้วยการยิงแสงเลเซอร์ความร้อนสูงใส่แท่งแกรไฟต์
ที่อยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยแก๊สฮีเลียม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ โครงสร้างโมเลกุลคาร์บอนเกือบทั้งหมด
เปลี่ยนรูปร่างเป็นทรงกลมเหมือนลูกฟุตบอลที่ประกอบด้วยคาร์บอน 60 อะตอม
นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามท่านได้ตั้งชื่อรูปทรงกลมนี้ว่า “บัคมินสเตอร์ฟูลเลอรีน” เพื่อให้เกียรติแด่
มร. บักมินสเตอร์ ฟูลเลอร์ (Buckminster Fuller) ซึ่งเป็นผู้ออกแบบอาคารและสิ่งก่อสร้างรูปโดมทรงกลม
ที่มีลักษณะคล้ายกับลูกฟุตบอลขนาดใหญ่อันเลื่องชื่อหลายแห่ง
ตัวอย่างอาคารรูปโดมที่ออกแบบโดย มร. บัคมินสเตอร์ ฟูลเลอร์ |
แล้วทำไมเจ้าลูกบอลคาร์บอนนี่ถึงสำคัญขนาดขึ้นหน้าเว็บ google กันได้ล่ะเนี่ย?
สาเหตุก็คือเมื่อทั้งสามทำการศึกษาก็พบว่าเจ้าบัคกี้บอลนี้เต็มไปด้วยคุณสมบัติแปลกๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- การยับยั้งการทำงานของไวรัส
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
- กำจัดเซลล์มะเร็ง
- ใช้เป็นสารต่อต้านการตายของเซลล์
- ต่อต้านอนุมูลอิสระ
- สร้างตัวนำยิ่งยวด (superconductor)
- เป็นส่วนประกอบของโซล่าเซลล์
- บรรจุอะตอมของธาตุต่างๆ
นอกจากนี้ยังสามารถพบบัคกี้บอลได้ในธรรมชาติอีกด้วย เช่น ในเขม่าของเทียนไขและไส้ตะเกียงน้ำมันก๊าซ
ผลจากการค้นพบครั้งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี ค.ศ. 1996
นอกจากนี้ยังสามารถพบบัคกี้บอลได้ในธรรมชาติอีกด้วย เช่น ในเขม่าของเทียนไขและไส้ตะเกียงน้ำมันก๊าซ
ผลจากการค้นพบครั้งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี ค.ศ. 1996
อ้าวในเมื่อมันวิเศษขนาดนี้แล้วทำไมเราถึงไม่เคยได้ยินชื่อของมันเลยล่ะ?
นั่นก็เพราะว่าเจ้าบัคกี้บอลนั้นยังอยู่ในระหว่างการศึกษาและยังคงมีความลับอยู่อีกมากมาย
อันตรายอย่างหนึ่งของมันคือสามารถทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของปลาที่เอามาทำการทดลองได้ด้วย!
ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดในการนำบัคกี้บอลมาใช้ประโยชน์ คือ ต้องทำความเข้าใจคุณสมบัติ ต่างๆ
ของเจ้าบัคกี้บอลนี้ให้ถ่องแท้เสียก่อน รวมถึงข้อเสียต่างๆของมันด้วย ก่อนที่จะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย
ถ้าใครสนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553
ปริศนาแห่ง สี
เรื่องของ สี จะมีอะไรให้สงสัยได้
เรารู้จัก สี กันดีอยู่แล้วทั้งสีขาว ดำ แดง น้ำเงิน ฟ้า มีสีมากมายที่เรารู้จัก
นับเป็นสัญลักษณ์ที่เรียบง่าย โดดเด่น และจำแนกได้ง่ายสำหรับผู้คนทั่วไป
แต่ผู้ตาบอดสี จะเห็นโลกที่แตกต่างไปจากเรา (ขอกล่าวเฉพาะผู้ตาบอดสีแล้วกัน)
เนื่องด้วย พวกเขามีเซลล์รับแสงบกพร่องหรือไม่สมดุล เมื่อเทียบกับคนทั่วไป
จึงเห็นสีสันของภาพต่างๆ ในอีกมุมมองหนึ่ง
เซลล์สีในตาคนเราทั่วไปจะมีเซลล์กรวย อยู่ 3 ชนิด
คือ ชนิดรับสีแดง ชนิดรับสีน้ำเงิน และชนิดรับสีเขียว
น่าสงสัยมาก เพราะ วิชาศิลปะสอนว่าแม่สี 3 สีคือ แดงน้ำเงินและเหลือง
และสีเขียวเกิดจาก แม่สีเหลืองผสมกับแม่สีน้ำเงิน
และสีเขียวเกิดจาก แม่สีเหลืองผสมกับแม่สีน้ำเงิน
ซึ่งแม่สีผสมภาพเหล่านี้ กลับไม่ตรงกันกับแม่สีในตาของเรา
เครื่องพิมพ์ใช้หลัก RGB หรือก็คือใช้หลักแม่สีเหมือนแม่สีตาของคน
เครื่องพิมพ์ใช้หลัก RGB หรือก็คือใช้หลักแม่สีเหมือนแม่สีตาของคน
แต่แน่นอน คนเราเห็นสีมากกว่า 3 สีที่ว่ามานั้น แต่สีที่เรามองเห็นนั้นเกิดจากแม่สีของตาคนรับสีมามากกว่า 1สี
จึงมองเห็นวัตถุมีสีอื่นๆนั้นเอง -- 10ล้านสี คือผลสรุปจำนวนสีที่ค้นพบว่าคนเราสามารถมองเห็นได้
ด้วยธรรมชาติที่หลาาากหลาย และการสำรวจที่ก้าวหน้า เราจึงรู้ด้วยด้วยว่าสัตว์เห็นโลกด้วยสีอะไรบ้าง เช่น
หมึก สัตว์ทะเลที่เรากินมันอยู่บ่อยๆ ถ้าเรามีโอกาศมองเห็นโลกจากตาของมันแล้วล่ะก็ เราจะต้องตกตะลึง
เพราะ หมึกเห็นแต่สีขาวดำเท่านั้น ลองคิดถึงสภาพของมันคง ล่องลอยในทะเลกว้างสีขาว
เมื่อมีผู้บุกรุกหรือรู้สึกถึงอันตราย มันจะฉีดหมึกสีดำสนิทใส่ *-* บริเวณนั้นจะเห็นเป็นแอ่งสีเทาๆ
เพราะ หมึกเห็นแต่สีขาวดำเท่านั้น ลองคิดถึงสภาพของมันคง ล่องลอยในทะเลกว้างสีขาว
เมื่อมีผู้บุกรุกหรือรู้สึกถึงอันตราย มันจะฉีดหมึกสีดำสนิทใส่ *-* บริเวณนั้นจะเห็นเป็นแอ่งสีเทาๆ
แต่เว้นเรื่องหมึกกันก่อน สัตว์เลี้ยงประจำบ้านนอย่างแมวก็น่าสนใจ ด้วยเหล่าแมวที่จับหนูเปื้อนเลือดแดงสดมาอวดเจ้าของ
ในสายตามันขาดการเห็นแม่สีหลัก 1 สีที่ไม่เหมือนคน คือสีแดง งั้นเจ้าแมวก็เห็นหนูตัวออกสีน้ำเงินๆ และเลือดหนูสีเขียวๆ
ด้วยความสามารถที่แยกสีและเห็นสีที่ไม่เท่ากัน จะเห็นโลกต่างจากกันไปคนละมุม
ถ้าอย่างงั้นแล้ว คนที่มีเซลล์สีมาก จะเห็นความแตกต่างของภาพได้ดี เหมือนคนชิมรสไวน์ที่แยกรสได้ละเอียดไหม
ถ้าใช่ ศิลปินจิตรกร ก็ต้องมีเซลล์สีผิดไปจากชาวบ้านมากๆเลยสิ บางทีสิ่งนี้อาจอธิบายได้
ส่วนสัตว์หลายชนิดอย่างลิง นก ต่างๆนั้นมีความสามารถเห็นสีได้สดใสเทียบเคียงกับมนุษย์
ดูเหมือนว่าประโยชน์เรื่องสี ช่วยให้เราพบความไม่สมดุลของเซลล์สีได้ เช่น ภาพทดสอบการตาบอดสี
แต่ดูเหมือนการตาบอดสี ก็อาจจำเป็นในลดโอกาศในอาชีพได้เช่นกัน งานด้านแฟชั่น ศิลปกรรม
อุตสาหกรรม หรืองานที่ต้องใช้ความรอบคอบในการตัดสินใจเช่น ผู้ควบคุมจราจรลานบิน/ถนน
ได้เพิ่มลงในการรับสมัครงาน หรือแม้แต่สถานศึกษาวิชาชีพนั้น
ถึงความจำเป็นที่บุคคลนั้นต้องไม่เป็นโรคตาบอดสีขั้นรุนแรงหรือไม่ตาบอดสีเลย
โรคตาบอดสีคาดว่าเกี่ยวข้องกับโครโมโซเพศชาย เป็นโรคทางพันธุกรรม
ที่เพศชายมีโอกาสเกิดได้บ่อยกว่าเพศหญิง (อาการผมร่วง ผมล้านก็เช่นเดียวกัน)
มาลงท้ายกันที่มองเห็นสีได้อย่างไรกันยาวๆ
เริ่มเลยคือ แสงสีต่างๆ สะท้อนเข้าสู่ตา เซลล์กรวยรับแสงนั้น จึงเห็นเป็นภาพที่ประกอบกับเป็นสีๆ
เพราะงั้นวัตถุใดสะท้อนแสงสีใดใส่เรา จึงเห็นวัตถุนั้นสีอย่างนั้นเอง
ถ้าไม่มีแสงเลย อย่าง ห้องมืดสนิท เราก็จะไม่เห็นอะไรเลยเลย เพราะไม่มีแสงใดสะท้อนเข้าตาเรา
มะเขือเทศแดงสดที่เราเห็น รับแสงทุกแสงที่ส่องมาที่มัน แต่สะท้อน/ไม่รับแสงสีแดง เราจีงเห็นสีแดง
ดูมันผิดสามัญสานึกดีไหม
วัตถุสีขาว เสื้อขาว สะท้อนมันทุกแสง
วัตถุสีดำ รับหมด ไม่มีการสะท้อนแสงเลย เราจึงเห็นเป็นสีดำ
ใครที่ชอบของสิ่งนั้นเพราะสีสวย แสดงว่า ชอบวัตถุที่สะท้อน/ไม่รับ สีนั้น น่ะสิ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)